ลดน้ำหนัก แต่งหน้า เคล็ดลับแต่งหน้า เทรนด์แฟชั่น

ความเชื่อ&ความจริง ..วัคซีนมะเร็งปากมดลูก



      มะเร็งปากมดลูก...สาว ๆ คงกลัวกันทุกคน และยิ่งได้ยินว่ามีวัคซีนป้องกัน ก็ยิ่งมีข้อสงสัย จากที่ได้รู้มาบ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่ามีเพศสัมพันธ์แล้วช่วยไม่ได้ ...ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกัน..

     "ฉันคิดว่า ฉันไม่เป็นหรอก เพราะดูแลสุขภาพอย่างดี และคนในครอบครัวก็ไม่เคยมีใครเป็นมะเร็งปากมดลูกเลย"

     - มะเร็งปากมดลูกไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดก่อมะเร็ง ซึ่งยังเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอดอีกด้วย เชื้อเอชพีวีติดต่อได้ง่ายมากทางเพศสัมพันธ์ แม้คนในครอบครัวไม่เคยมีใครเป็นมาก่อน คุณก็อาจเป็นได้ ถึงดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี แต่ละเลยไม่ไปตรวจภายในเป็นประจำ

     "ฉันไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็น เพราะคู่ของฉันเป็นคนซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว ไม่มีทางจะไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นได้"

      - จากการศึกษาพบว่า 46% ในกลุ่มผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเพียงคนเดียวภายใน 3 ปีเกิดการติดเชื้อเอชพีวีได้ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนจึงมีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกตราบใดที่ยังมีเพศสัมพันธ์

     "แฟนฉันใช้ถุงยางอนามัย คงไม่มีทางได้รับเชื้อหรอก"

      - ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นได้ แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อเอชพีวีได้ 100% ดังนั้นคุณจึงยังมีความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชพีวีอยู่

     "ในเมื่อฉันตรวจแพปสเมียร์แล้ว ก็ไม่เห็นต้องฉีดวัคซีนเลย"

      - การตรวจแพปสเมียร์และการฉีดวัคซีนเอชพีวีเป็นวิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่ โดยการตรวจแพปสเมียร์นั้น เป็นการตรวจหารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็หมายความว่าอาจมีการติดเชื้อเอชพีวีแล้วและต้องได้รับการรักษา
      ส่วนการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่ทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อเกิดความผิดปกติและอาจเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง หากทำร่วมกันทั้ง 2 วิธี ก็จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกัน

     "วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกต้องฉีดตั้งแต่เด็ก ฉันคงแก่เกินไปแล้วล่ะ"

      - จริงอยู่ที่การฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 10-11 ปี จะได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเด็กยังไม่มีเพศสัมพันธ์ จึงยังไม่ได้รับเชื้อ นอกจากนี้เด็กยังสามารถตอบสนองและสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อเอชพีวีก็ยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้สูงกว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติมาก จึงยังได้ประโยชน์มากเช่นกัน

     "จริงหรือไม่ .. ถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้ว ฉีดวัคซีนไปก็ไม่มีประโยชน์"

      - จากการศึกษาผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว พบว่ามีน้อยกว่า 1% ที่พบการติดเชื้อเอชพีวีทั้งชนิด 16 และ 18 พร้อมกันที่ปากมดลูก วัคซีนจึงยังสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยมีการติดมาก่อนได้ การฉีดวัคซีนในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วจึงยังได้ประโยชน์อยู่

     "วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ต้องฉีดชนิดไหน"

      - ปัจจุบันวัคซีนมี 2 ชนิด สามารถป้องกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ถึง 70% ชนิดแรกเป็นวัคซีนสายพันธุ์ 16 และ 18 ชนิดเสริมสารกระตุ้นภูมิรุ่นใหม่ เน้นป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีสาเหตุมาจากเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ก่อมะเร็ง สร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าและอยู่ได้นาน
      อีกชนิดคือ วัคซีน 4 สายพันธุ์ ซึ่งใช้ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (จากสายพันธุ์ 16 และ 18) และยังป้องกันหูดอวัยวะเพศ (จากสายพันธุ์ 6 และ 11 ) ได้

     "ถ้าฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ต้องไปตรวจภายในแล้วสิ"

      - วัคซีนเอชพีวึสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้เกือบ 100% ในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุ 70% แต่มะเร็งปากมดลูกก็อาจเกิดจากการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์อื่นได้เช่นกัน ดังนั้นผู้หญิงก็ยังควรไปตรวจภายใน (แพปสเมียร์) อยู่



      การป้องกันมะเร็งปากมดลูก สามารถทำได้ด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการตรวจแพปสเมียร์อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการฉีดวัคซีนเอชพีวี...







Women.Thaiza.com เรียบเรียงจากคณะแพทย์ จุฬาฯ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กลับขึ้นด้านบน

Thaiza update: