ลดน้ำหนัก แต่งหน้า เคล็ดลับแต่งหน้า เทรนด์แฟชั่น

วิธีสังเกต ไข้เลือดออก ภัยใกล้ตัวจากยุงลาย

ไข้เลือดออก

    ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเตงกี และมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โรคไข้เลือดออกมีตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

    การติดต่อ โรคไข้เลือดออกเดงกี ติดต่อกันได้โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นแมลงนำโรคที่สำคัญ และในชนบทบางพื้นที่ จะมียุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นแมลงนำโรคร่วมกับยุงลายบ้าน เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้ป่วยได้

       ระยะฟักตัว ระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสเดงกี ในคน ประมาณ 3-14 วัน โดยทั่วไปประมาณ 5-8 วัน

       ระยะติดต่อ โรคไข้เลือดออกเดงกี ไม่ติดต่อจากคนสู่คน ติดต่อกันได้โดยมียุงลายเป็นแมลงนำโรค การติดต่อจึงต้องใช้เวลาในผู้ป่วยและในยุง ระยะที่ผู้ป่วยมีไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 จะมีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก ระยะนี้จะเป็นระยะติดต่อจากคนสู่ยุง และระยะเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสในยุงจนมากพออีกประมาณ 8-10 วัน จึงจะเป็นระยะติดต่อจากยุงสู่คน

    อาการ หลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5-8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันได้ ตั้งแต่มีอาการคล้ายไข้เดงกี (dengue fever: DF) ไปจนถึงมีอาการรุนแรง (dengue hemorrhagic fever: DHF) และรุนแรงมาก จนถึงช็อกและเสียชีวิต (dengue shock syndrome: DSS)

    ผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการได้ 3 แบบ คือ

    1. Undifferentiated fever (UF) หรือกลุ่มอาการไวรัส
    2. ไข้เดงกี (Dengue fever – DF)
    3. ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF)

    โรคไข้เลือดออกเดงกี มีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิดก่อนหลัง ดังนี้

    1. ไข้สูงลอย 2-7 วัน
    2. มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง
    3. มีตับโต กดเจ็บ
    4. มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว/ภาวะช็อก

    การดำเนินโรคของโรคไข้เลือดออกเดงกี แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะไข้ ระยะวิกฤต/ช็อก และระยะฟื้นตัว

    1. ระยะไข้

    - ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน
    - บางรายอาจมีอาการชัก โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน
    - ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง (flushed face)

    - ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล หรืออาการไอ เบื่ออาหาร อาเจียน
    - อาจพบมีผื่นแบบ erythema หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella ได้
    - อาการเลือดออกที่พบบ่อย คือ ที่ผิวหนัง การทำ tourniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena)
    - ส่วนใหญ่จะคลำตับ โต ได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่มและกดเจ็บ

    2. ระยะวิกฤติ / ช็อก

    - ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี จะมีอาการรุนแรง มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว
    - เวลาที่เกิดอาการช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน)
    - ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง และจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังเริ่มมีภาวะช็อก

    3. ระยะฟื้นตัว

    - ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อกเมื่อไข้ลด ส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยช็อกถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
    - ระยะฟื้นตัวมีช่วงเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน

    การป้องกัน

    - ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก สำหรับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน
    - สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด รนอนในมุ้งหรือติดมุ้งลวด ทายากันยุง ป้องกันยุงลายกัด
    - กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น โอ่งน้ำ ถ้วยรองขาตู้ แจกันดอกไม้ ยางรถยนต์

    ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรครุนแรงมากขึ้นและเสียชีวิต ได้แก่

    - ภาวะอ้วน มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต เป็นต้น รวมทั้งการไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลช้า และห้ามซื้อยารับประทานยาเอง โดยเฉพาะยาในกลุ่มแอสไพริน (Aspirin) หรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เนื่องจากยาทั้ง 2 ชนิด นี้ เป็นยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ที่มีฤทธิ์ลดไข้ที่ดี แต่ข้อเสียของยากลุ่มนี้ คือ สามารถออกฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำและเพิ่มภาวะเลือดออกได้
    - กรณีผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่รักษาแบบ Home Isolate ระวังการถูกยุงกัด เนื่องจากในกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 608 หากป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกร่วมด้วย จะทำให้มีอาการรุนแรง การรักษายุ่งยาก และมีโอกาสเสียชีวิตสูง
รพ.นวเวช


บทความที่เกี่ยวข้อง

กลับขึ้นด้านบน

Thaiza update: